Unseen Thailand ภาพของวัดใต้บาดาลหรือวิหารจมน้ำ คงจะเป็นหนึ่งในภาพที่หลายๆ คนให้ความสนใจ และตามมาด้วยคำถามมากมายว่าวัดนี้อยู่ที่ใหน จังหวัดอะไร และไปอยู่ใต้น้ำได้อย่างไร ตามผมมาครับ เดี๋ยวผมจะพาไปสำรวจ ให้เราได้รู้จักวัดแห่งนี้กันมากขึ้นครับ วัดแห่งนี้มีชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ตั้งอยู่ที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เดิมทีวัดแห่งนี้มีสถานะเพียงแค่สำนักสงฆ์ ในบริเวณวัดมีเพียงแค่กุฎิ และ ศาลาเท่านั้น แต่เนื่องจากสำนักสงฆ์แห่งนี้มีพระที่ชาวบ้านนับถือเป็นอย่างมาก จนได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าของชาวมอญ พระรูปนั้นก็ คือ หลวงพ่ออุตตมะ ท่านจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ถึงจะเป็นเพียงแค่สำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านทุกๆคนต่างพากันเรียกสำนักสงฆ์แห่งนี้ว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 กรมการศาสนาได้ยกระดับสถานะของสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้นเป็นวัด และ ให้ชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ตามชื่อเดิมของอำเภอ คือ อำเภอ วังกะ-สังขละบุรี ซึ่งต่อมาถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอ ก่อนที่จะได้รับการยกฐานะเป็น ตำบลวังกะ และ อำเภอสังขละบุรีเมื่อในปี พ.ศ. 2508
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินสูงตรงจุดที่เรียกกันว่า “สามสบ” คือ จุดที่แม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำรันตี และ แม่น้ำบีคลี่ ได้ไหลมาบรรจบกัน และ ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำแควน้อย แต่ด้วยชื่อที่พ้องเสียงกับ คำที่ฟังดูไม่ค่อยจะเป็นมงคลสักเท่าไหร่ เค้าก็เลยเปลี่ยนชื่อจาก “สามสบ” มาเป็น “สามประสบ” ต่อมาเมื่อในปี พ.ศ. 2527 ได้มีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือ ที่คนทั่วๆไปเรียกกันว่าเขื่อนเขาแหลม ทำให้น้ำท่วมอำเภอสังขละบุรีเดิมรวมถึงวัดวังก์วิเวการาม(หลังเก่า) ต่อมาหลวงพ่ออุตมะท่านจึงได้ย้ายวัดขึ้นไปสร้างอยู่บนเนินเขา และ ท่านก็ได้สร้างเจดีย์พุทธคยา ซึ่งจำลองแบบมาจากเจดีย์พุทธคยาในประเทศอินเดีย ไว้ที่วัดวังก์วิเวการามแห่งใหม่นี้ด้วย ซึ่งภายในเจดีย์พุทธคยาแห่งนี้ได้มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ “กระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา” ซึ่งมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารไว้ในเจดีย์พุทธคยาแห่งนี้ให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะกันอีกด้วย
วัดหลังเดิมหลังจากที่ถูกน้ำท่วมจนกลายเป็นวัดใต้บาดาล แทนที่จะหมดความสำคัญ หรือ สูญหายไปจากความทรงจำของประชาชน แต่ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างมากของอำเภอสังขละบุรี หรือ แม้กระทั่งของจังหวัดกาญจนบุรีเลยก็ว่าได้ สังเกตได้จากในทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมวัดใต้บาดาลแห่งนี้เป็นจำนวนมาก เสน่ห์ของวัดใต้บาดาลแห่งนี้มีให้เราได้เห็นในทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะเป็นเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น น้ำขึ้น น้ำลง ฤดูร้อน ฤดูฝน หรือ ฤดูหนาว เพราะในทุกๆช่วงเวลาที่วัดใต้บาดาลแห่งนี้ เราจะได้เห็นมุมมองที่สวยงามแตกต่างกันไป ถ้าใครได้ไปเที่ยวในช่วงฤดูที่น้ำขึ้นสูง คือ ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ไปจนถึงเดือน กุมภาพันธ์ เราจะเห็นภาพของพระอุโบสถที่จมอยู่ใต้น้ำเกือบจะทั้งหลัง ในปีที่มีปริมาณน้ำมากเราอาจจะเห็นเพียงแค่เสาธงที่เค้าปักไว้เป็นสัญลักษณ์ให้เราได้รู้ว่าวัดบาดาลตั้งอยู่ ณ จุดนี้ แต่ถ้าใครไปเที่ยวในช่วงที่น้ำแห้ง คือ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม ไปถึง เดือนสิงหาคม เราอาจจะมองเห็นพระอุโบสถโผล่พ้นน้ำขึ้นมาแค่ครึ่งหลัง แต่ถ้าเป็นปีไหนที่น้ำแห้งมากๆ เราสามารถที่จะเดินขึ้นไปไหว้พระในพระอุโบสถหลังเดิมกันได้เลยครับ
เราพูดถึงวัดใต้บาดาลกันแล้ว ที่นี้เรามาพูดกันถึงสถานที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจไม่แพ้วัดใต้บาดาลสถานที่นั้นก็ คือ “ สะพานมอญ ” หรือ “ สะพานอุตตมานุสรณ์ ” สะพานแห่งนี้เป็นสะพานไม้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยมี คือ มีความยาวถึง 442 เมตร แต่บางคนอาจจะบอกว่าสะพานนี้มีความยาวถึง 850 เมตร เพราะเค้าได้รวมความยาวของสะพานเหล็กที่ทางเทศบาลได้สร้างเชื่อมต่อกับสะพานไม้แห่งนี้ด้วยครับ สะพานมอญสร้างขึ้นด้วยการร่วมแรงร่วมใจของ ชาวไทย และ ชาวมอญ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2529 โดยใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 1 ปี สะพานแห่งนี้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำซองกาเลียจากฝั่งอำเภอสังขละบุรี ไปสู่ฝั่งหมู่บ้านมอญ ในสมัยก่อนการเดินทางจากอำเภอสังขละบุรี เพื่อที่จะข้ามไปฝั่งหมู่บ้านมอญเราจะต้องเดินอ้อมภูเขาสูงเป็นระยะทาง 6-7 กิโลเมตร ต่อมาหลวงพ่ออุตตมะท่านได้มีดำริให้สร้างสะพานแห่งนี้เพื่อที่จะเชื่อมระหว่างตัวอำเภอสังขละบุรี และ หมู่บ้านมอญให้ชาวบ้านไปมาหาสู่กันได้สะดวกสบายมากขึ้น สะพานแห่งนี้นอกจากจะทำให้การเดินทางระหว่างอำเภอสังขละบุรี ไปหมู่บ้านมอญได้สะดวกแล้ว ที่นี่นับได้ว่าเป็นจุดชมวิวของทะเลสาปเขื่อนเขาแหลมที่มีความสวยงามมากๆอีกแห่งหนึ่งเลยครับ
การมาเที่ยวที่อำเภอสังขละบุรีแห่งนี้นอกจากที่เราจะได้เห็นทัศนียภาพที่สวยงงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรให้เราได้ดูกันแล้ว เรายังจะได้เห็นวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวมอญที่มีความงดงามไม่แพ้กันอีกด้วยครับ ชาวมอญที่อาศัยอยู่ที่นี่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และ วัฒนธรรมพื้นบ้านของพวกเค้าไว้ได้อย่างดีซึ่งยังมีให้เราเห็นอยู่ถึงในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตรในตอนเช้าแบบมอญ ในตอนเช้าๆเราจะเห็นมีผู้คนมากมายมารอใส่บาตรกันเป็นทิวแถว แต่การใส่บาตรที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นตรงที่ว่าชาวมอญนิยมที่จะนำตะเกียงเล็กๆมาใส่บาตรด้วย การใส่บาตรด้วยตะเกียงเป็นความเชื่อของชาวมอญที่เชื่อกันว่าแสงจากตะเกียงจะช่วยส่องแสงสว่างให้กับชีวิต ซึ่งพระสงฆ์แถวนั้นท่านก็ได้นำตะเกียงเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์กันจริงๆ เนื่องจากพื้นที่แถวนั้นยังกันดารอยู่มาก วัดบางวัดไฟฟ้ายังอาจจะเข้าไม่ถึง พระสงฆ์ท่านจึงต้องใช้ตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างยามค่ำคืน
การเดินทางไปสังขละบุรี เราสามารถจะไปกันได้สองวิธี คือ ทางรถยนต์ และ ทางเรือ
การเดินทางทางรถยนต์เมื่อเราเดินทางมาถึงตัวจังหวัดกาญจนบุรีแล้วเมื่อวิ่งมาถึงแยกแก่งเสี้ยน ให้วิ่งไปทางอำเภอทองผาภูมิ โดยเส้นทางนี้จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรีอีกหลายแห่ง เช่น ถ้ำกระแซ น้ำตกไทรโยคน้อย และ น้ำตกโทรโยคใหญ่ เมื่อวิ่งมาถึงสามแยกก่อนเข้าอำเภอทองผาภูมิ จะมีป้ายเลี้ยวขวาไปอำเภอสังขละบุรี ให้เราเลี้ยวขวาที่สามแยกนี้ แต่ตรงนี้ต้องขอเตือนสำหรับคนที่ยังไม่เคยมาเส้นทางนี้ว่าจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเส้นทางนี้เป็นทางภูเขาที่มีความคดเคี้ยวและลาดชันมาก ๆ แต่ก็เป็นเส้นทางที่สวยงามมากเช่นกันครับ เพราะเมื่อเราวิ่งจนถึงน้ำตกเกริงกาเวียจากนั้นไปเราจะวิ่งเลาะริมทะเลสาปเขื่อนเขาแหลมไปตลอดทาง ในระหว่างทางเราจะข้ามสะพานข้ามแม่น้ำรันตี ที่จุดนี้ในช่วงนี้น้ำขึ้นสูงต้องขอบอกว่าสวยงามจนทำให้อดใจที่จะหยุดรถกลางสะพานไม่ได้จริงๆครับ จากนั้นเราก็วิ่งมาเรื่อยๆจนถึงสามแยกที่ป้ายจะบอกว่าเลี้ยวขวาไปด่านเจดีย์สามองค์ ให้วิ่งตรงไป จากสามแยกนี้อีก 7 กิโลเมตรก็จะถึงอำเภอสังขละบุรีแล้วล่ะครับ
ส่วนการเดินทางทางเรือ เราต้องลากเรือไปลงที่ ท่าแพ วิ่งเลยหน้าเขื่อนวชิราลงกรณ์ไปประมาณ 10 กิโลเมตร ให้สังเกตจะมีป้าย ท่าแพ หรือ แพอังคนา ให้เลี้ยวเข้าไปที่นั่นเลย ที่นี่เค้าไม่คิดค่าเอาเรือขึ้นลง แต่จะคิดค่าฝากรถ 50 บาท และ 100 บาท จากที่นี่เราจะใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 45 นาที ถึง1 ชั่วโมงครับ การขับเรือที่เขื่อนเขาแหลมนั้นผมต้องขอเตือนให้ทุกท่านต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือเป็นอย่างมากนะครับ และ ถ้าเป็นไปได้ควรจะมีคนที่รู้จักร่องน้ำแถวนั้นไปด้วยนะครับ เพราะถึงแม้ว่าตอไม้จะผุ และ ถูกตัดทิ้งไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังคงเหลืออีกเป็นจำนวนมากเช่นกันครับ ดังนั้นการขับเรือแถวนั้นต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทางเป็นอย่างมาก และ สิ่งที่จะขาดไม่ได้สำหรับการเดินทางเส้นทางนี้ก็คือ เสื้อชูชีพ และ GPS ครับ
ถ้าใครมีเวลาลองหาโอกาสไปเที่ยวที่นี่สังขละบุรีดูสักครั้งแล้วคุณจะรู้ว่าเมืองไทยของเรายังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายเลยครับ