4 คนบ้า…ท้าฝน,คลื่นลม

4 คนบ้า…ท้าฝน,คลื่นลม

“ พี่โดมครับ…ตั่งแต่เรือแพรอาภรณ์เสร็จลงน้ำมากว่า 3 ปี ผมยังไม่เคยเอาไข่ และตูดของผมสัมผัสเรือพี่เลย…ขอสักทริปน่ะครับ…” คำพูดประโยคนี้ไม่ได้เกินเลยจากความจริงแต่อย่างใด แต่มันมาจากก้นบึ้งหัวใจของชายที่ชื่อ “ตี๋ หมื่นไม้” อย่ากระนั้นเลยเรา

ฤก็คนที่ขัดศรัทธาคนไม่ค่อยเป็น ทริปนี้ที่เค้าว่าคลื่นลมแรงอย่าออกเรือ…จึงบักเกิดขึ้น…

ก่อนจะทำอะไรการหาข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ผมเช็คข่าวกับเพื่อนร่วมสายน้ำ ที่ออกไปแสวงโชคกลางอ่าวไทย ผลปรากฏว่าว่าวันนี้เรือส่วนมากไม่ค่อยได้บำเหน็จจากท้องน้ำสักเท่าไร แต่ทุกคนที่ผมคุยด้วยมักจะทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคเดียวกันคือ…”พรุ่งนี้ลมแรงน่ะจะออกเหรอ…”

โบราณว่าจิ้งจกทักเค้ายังฟัง นี่เพื่อนๆทักทั้งอ่าวไทย…แม็งส์เสือกไม่ฟัง…ผมโทรหาเพื่อร่วมชะตากรรมทั้งสามทันที ซึ่งตอนนี้ทั้งสามหน่อรอฟังเสียงนกหวีดว่าเราจะบุกตีเวลากี่โมง…!

ตี่สามครึ่งของวันรุ่งขึ้นเรานัดเจอกันที่หมายเดิมๆ เวลาเดิมๆ หลังผับเจ้าดังแห่งเมืองโอ่งราชบุรี ผับกำลังเลิกใหม่ๆตอนตีสอง แต่สิ้งที่วันนี้แตกต่างจากวันวานคือ ผมไม่เห็นน้องโคโยตี้เดินกลับห้องพักที่อยู่ด้านข้างผับ ผมไม่เห็นนักท่องราตรีเดินเมา แต่พยายามบอกว่ามีแรงไปต่อ ผมไม่เห็นอาเสี่ยจูงนักร้องขึ้นรถเบนซ์ที่จอดซุ่มในเงามืด ผมเห็นแต่ยามเดินมาถามผมว่าจะไปตกปลาเหรอ……นั้นหมายถึงอะไรหลายอย่างในธุรกิจร้านเหล้าว่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ รู้ได้อย่างเดียวว่าถ้าจะได้”เอาน้อง”ต้องทุ่มเท่านั้น…5555

ผมมักจะไปรวมพลกันที่ผับแห่งนี้ จอดรถทิ้งไว้คันหนึ่ง แล้วกระโดดขึ้นคันเดียวกันลากเรือไปสู้ที่หมาย ในค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน เราถ่ายเทอุปกรณ์ต่างๆจากรถกระบะสู่ Jeep คันเก่งของผม ระหว่างทางเราไม่วายจะแวะเติมน้ำมันเรือ น้ำมันรถ และน้ำมันคน การกินมาม่าหมูสับในยามตีสาม มันเป็นอะไรที่สุดยอดส์มากๆ…

เสบียงทุกอย่างโดนโหลดลงเรือ ระหว่างทางไม่มีบุรุษในเครื่องแบบฉายไฟมาส่งเลยแม้แต่คันเดียว นับว่าโชคดีดว่าได้ปลาอินทรีย์ 10 ตัว เพราะช่วงหลังนี้ผมมักจะโดนตำรวจทางหลวงไล่ตามให้จอดตลอดสาย ทริปหนึ่งเคยไปกันน้าตะวันเจอถึง 6 คัน แต่ทุกคันก็อำนวยความสะดวกให้ด้วยดีเหมือนรู้ว่าเจ้าของเรือคือใคร…555

ตีห้ากว่า…เราก็มาถึงชายหาดเขาตะเกียบ แห่งบ้านหัวหิน ที่นี้เงียบสงบ เราเจอเรือน้าไอซ์ กำลังเตรียมลงน้ำอยู่จึงทักทาย และก็เหมือนเดิมสำหรับเพื่อร่วมสายน้ำคนนี้ น้าไอซ์เป็นหัวเรียวหัวแรงในการเอาเรือแพรอาภรณ์ลงน้ำให้ในเช้านี้ มาถึงบรรทัดนี้ต้องบอกว่าขอบคุณมากๆครับ จากใจชายตัวดำๆคนนี้ครับ…

ทริปนี้เราวางเป้าหมายว่าจะตกปลาอินทรีย์กันด้วยการลอยสายเป็นหลัก ดังนั้นการหาปลาเหยื่อจึงต้องเป็นเรื่องแรกที่เราต้องทำ สำหรับผมนั้นในทริปนี้ตั่งใจจะไม่ตกปลา แต่จะทำหน้าที่เป็นคนขับเรือเข้าหมายให้เพื่อนๆได้ตกกัน

ทะเลยามเช้าเรียบเป็นกระจกไม่มีวี่แววของคลื่นลมแม้แต่อย่างใด แต่คำว่าคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล ยังคงใช้ได้นั้นหมายความว่าเราอย่าประมาท เพราะบางครั้งเธอสวยนิ่มนวลราวกับนางฟ้า แต่เพียงแค่กระพริบตาเธออาจกลายร่างเป็นซาตานอย่างที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนก็เป็นได้…

เราหาเหยื่อปลาทู และปลาสีกุลขนาดสวยๆได้ราว 30 ตัว จากหมายหินซอ หินซอเป็นหินพ้นน้ำอยู่ตรงบริเวณเขาตะเกียบ เมื่อหลาย 10 ปีที่แล้วไม่มีประภาคารบอกสัญญาณเวลาค่ำมืด ปัจจุบันมีเสาประภาคารทำให้สะดวกในการมองหาเวลาเดินเรือ

ผมตัดสินใจขับเรือเดินทางเข้าหมายแรกซึ่งห่างจากฝั่งประมาณ 18 ไมล์ ที่หมายแห่งนี้เราได้เจอกับเรือทัวร์ตกปลาของเจ้าถิ่น และเรือเพื่อนๆเราอีกสองลำคือเรือขอน้าไอซ์ และน้าแจ็ค ผมให้สัญญาหมอเป็ด และบักเอ ปล่อยสายลอยสองเส้น คือเส้นไกล และเส้นใกล้ จากนั้นก็เริ่มเดินเครื่องรอบเบาจูงเหยื่อวนไปตามหมายแนวหินใต้น้ำ เลาะหาเชื้อปลาเล็ก เพราะนั้นหมายถึงอาจจะมีปลาใหญ่คอยไล่ตามมันเช่นกัน…

เพียงแค่สักพักที่เราเริ่มจูงเหยื่อรอกAvet.ของหมอเป็ดก็แหกปากร้องขอความช่วยเหลือ เสียงดังลั่น ราวกับว่าหญิงสาวกำลังจะโดนรุมขืนใจจากชายหื่น ที่มีใบหน้าหยาบกร้านราวกับหนังกระโปกช้าง…เธอร้องได้แค่อึดใจ…หมอเป็ดก็คว้าคันขึ้นมาแล้วเริ่มเกมส์แห่งการต่อสู้ระหว่างคนกับปลาอินทรีย์…บทสรุป…คนเป็นฝ่ายชนะปลาอินทรีย์ขนาด 6 โลกว่าโดนเกี่ยวขึ้นมาบนเรือแพรอาภรณ์ มันนับเป็นปลาอินทรีย์ตัวแรกแห่งปี 2018…

“ มาตามนัด…” งานนี้ไม่ใช่เกมส์โชว์ที่ออกอากาศสมัยรุ่นพ่อมารุ่นลูก และต่อไปถึงรุ่นหลาน กับเกมส์ที่ไม่เคยพัฒนาสมองผู้ชม แต่มาตามนัดงานนี้คือ…”คลื่นลม” เพียงแค่ 11 โมงกว่าๆ ทั้งคลื่น ทั้งลม ทั้งฝน กระหน่ำเราแบบมองไม่เห็นอะไร นอกจากคลื่นที่สูงราวสองเมตร แตกหัวสีขาวโพลนเพราะแรงลม คำถามที่กัปตันอย่างผมถามลูกเรือคือ…” ไหวไหม…จะสู้หรือจะถอย…” คำถามนี้มันเหมือนคำถามที่ผมถามผิดคน…แม็งส์เสือกตอบพร้อมกันว่าแล้วแต่กัปตัน…555

ในฐานะกัปตันผมสั่งทอดสมอสู้คลื่นลม เพราะจากพยากรณ์อากาศมันจะมาสองชั่วงโมงครึ่งเท่านั้น แล้วจะเบาลง เรือลำอื่นๆต่างพากันวิ่งเข้าฝั่งมีแต่เราที่ทอดสมอสู้คลื่น ลม และสายฝน อากาศหนาวแบบจับขั้วหัวใจ ฟันบนกับฟันล่างของทุกคนเริ่มกระทบกันดังสนั่น ปากสั้นแต่ก็ไม่วายบอกกับตัวเองว่าเราแม็งส์บ้าสิ้นดี…555 อากาศหนาวยิ่งขึ้นเราต้องหาความอบอุ่นให้ร่างกายโดยด่วน ถ้าเป็นหนังฝรั่งผมรับรองได้ว่าพระเอกจะต้องกอดนางเอก เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น และจะให้อุ่นยิ่งขึ้นก็ต้องได้เสียเป็นเมียผัวกัน…555

แต่งานนี้หันไปแม็งส์มีแต่ผู้ชายทั้งแท่งอยู่เต็มลำเรือ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือออกกำลังกายกับการตกปลา ทุกคนพร้อมใจกันเอาคันเบ็ดประจำตัวออกมาจิ๊กอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น…จากการจิ๊กครั้งนี้เราได้ปลาเล็กๆพอเอาไปทอดกินยามถึงฝั่ง ด้วยน้ำมือบักเอมาหลายตัว…

สามชั่วโมงผ่านไป…ลมเริ่มเบา ฝนห่างเม็ด ตีนฟ้าด้านพัทยาเริ่มเปิด…พร้อมกับเสียงสวรรค์…แกร๊กกกกกกกก…………รอกชิมาโน่ของบักเอดังเป็นคนแแรกหลังพายุ เสียงเฮดังลั่น ฟ้ามีตา…ปลาอินทรีย์ตัวที่สองเข้าฉวยเหยื่อคันของเรา และมันคือผู้พ่ายแพ้ไปในที่สุด คาดคะเนด้วยสายตาตัวนี้ 10 โลอัฟ มันโดนส่งไปนอนในห้องเย็นที่เตรียมไว้…

เพี่ยงแค่การสนทนาเรื่องคลื่นลม และการฉวยเหยื่อของปลาทั้งสองตัวกำลังเข้มข้น ปลาตัวที่สาม และที่สี่ ก็เข้าฉวยเหยื่อในเวลาไล่เลี่ยกัน…ทำให้เรารู้สึกว่าทฤษฎีของพี่จ่า ก๊อกสองเป็นจริงคือ…”ถ้ามึงจะตกอินทรีย์ มึงต้องตื้อ…” และนี้คือผมงานของการตื้อของทีมเรา…

สรุปทริปนี้…อินทรีย์ 5 หาง จากสายลอย 4 และจิ๊ก 1 เรามีแต่อินทรีย์ เพราะเราเน้นตกอินทรีย์…555

ขอบคุณ…เพื่อนทุกคนที่ร่วมผจญภัยไปกับเรือแพรอาภรณ์…
ขอบคุณ…ท้องทะเลที่มอบบำเหน็จคนจรอย่างเราให้เอาปลามาแบ่งปันกันในหมู่เพื่อนฝูง…

คำถามที่คาใจผม จนในที่สุดผมอดใจไม่ได้ที่จะถามน้าตี๋ หมื่นไม้คือ… “น้าตี๋ครับ…ผมถามจริงๆทำไมต้องใช้ประโยคว่า เอาไข่ เอาตูดมาสัมผัสเรือผมด้วย “ น้าตี๋ทำหน้านิ่งๆ เอามือกุมไปที่เป้ากางเกงตัวเองแล้วบอกว่า…”เพราะผมไม่ใส่กางเกงในเวลาตกปลาครับ…” ทุกคนหันมามองหน้า แล้วยิ้มหัวเราะ ส่วนผมเฉยมากๆ ได้แต่ตอบกลับไปว่า… “เหมือนกันกับกูเลย…กูก็ไม่เคยใส่กางเกงในเวลาลงเรือมาตกปลาเหมือนกัน…555

ตกปลากับเรือแพรอาภรณ์
14 ม.ค. 61

ขอขอบคุณพี่โปรโดม หรือ ผู้ชาย พายเรือ สำหรับ ภาพ และ เรื่องราวสนุกๆนะครับ เขียนเรื่องราวสนุกๆมาให้พวกเราอ่านบ่อยๆนะครับ

Comments

About the author:

Avatar photo

. Follow him on Twitter / Facebook.